all2nine

พญาคันคาก วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นตำนานบั้งไฟขอฝน ชาวยโสธร

พญาคันคาก วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นตำนานบั้งไฟขอฝน ชาวยโสธร
พญาคันคาก วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นตำนานบั้งไฟขอฝน ชาวยโสธร

ตำนานพญาคันคาก วรรณกรรมพื้นบ้าน และ ความเชื่อในวัฒนธรรมอีสาน

ตำนานพญาคันคาก หรือที่บางถิ่นเรียกว่า ตำนานพญาคางคก เป็นเรื่องราว ที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของชาวอีสาน และ ล้านนา วรรณกรรมพื้นบ้านนี้เป็นที่รู้จัก อย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ มีชื่อปรากฏในเอกสารโบราณ เช่น ใบลาน ซึ่งถูกบันทึกในแทบทุกจังหวัดในอีสาน แสดงถึงความสำคัญ ของตำนานนี้ต่อชาวบ้าน โดยเฉพาะในด้านความเชื่อ และ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับฝน และ ความอุดมสมบูรณ์ ตำนานพญาคางคก ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเล่าพื้นบ้าน แต่ยังได้รับการดัดแปลงให้เป็น ชาดกพื้นบ้าน หรือ วรรณกรรมที่มีแนวคิด ทางพระพุทธศาสนา ในบางพื้นที่ตำนานนี้ยังถูกยกย่อง เป็นส่วนหนึ่งของ ชาดกท้องถิ่น ซึ่งถือว่าพญาคันคากเป็น พระโพธิสัตว์ ที่เสวยพระชาติเป็นคางคก เรื่องราวนี้แสดงให้เห็น ถึงการผสมผสานระหว่าง ความเชื่อทางพุทธศาสนา และ ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับผีแถน ซึ่งเป็นเทพแห่งฝน ในความเชื่อของชาวอีสาน พระโพธิสัตว์ในคราบคางคก ในตำนานเล่า ถึงพญาคางคก

ซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์ เมื่อประสูติออกมามีรูปร่าง และ ผิวพรรณที่เหมือนคางคก ทำให้ได้ชื่อว่า “พญาคันคาก” คำว่า “คันคาก” ในภาษาอีสานหมายถึงคางคก แม้จะมีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่พญาคันคากมี บุญญาธิการ ที่ยิ่งใหญ่ และ ได้รับความช่วยเหลือจากพระอินทร์ จนกลายเป็นที่เคารพ นับถือของผู้คนทั่วทั้งเมือง ด้วยความศรัทธาที่มีต่อพญาคางคก ประชาชนเริ่มละเลยการบูชา พญาแถน ซึ่งเป็นเทพผู้ควบคุมฝนฟ้าอากาศ ทำให้พญาแถนโกรธ และ ไม่ยอมปล่อยฝนลงมาสู่โลกมนุษย์ ชาวนาไม่สามารถปลูกข้าวได้ ขาดแคลนน้ำ สำหรับทำการเกษตรและดำเนินชีวิต จนกระทั่งพญาคางคก เห็นถึงความทุกข์ยากนี้ จึงอาสานำกองทัพสัตว์ต่าง ๆ ทั้งปลวก ผึ้ง ต่อ แตน งู และสัตว์ใหญ่อย่างช้าง ม้า วัว ควาย ขึ้นไปทำศึกกับพญาแถนบนเมืองฟ้า การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด และ ในที่สุดพญาคางคก ก็ได้รับชัยชนะ พญาแถนจึงยอมปล่อยน้ำฝน ให้ตกลงมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ทำให้ชาวบ้านสามารถกลับ มาดำรงชีวิตอย่างปกติสุข และ ได้ผลผลิตจากการ เกษตรอีกครั้ง การผสมผสาน ระหว่างพุทธศาสนา และ ความเชื่อดั้งเดิมตำนานพญาคางคก มีความโดดเด่น ที่การนำเสนอภาพของ พระโพธิสัตว์ในคราบของคางคก

ซึ่งแสดงให้เห็นถึง พลังศรัทธา และ ความเชื่อในพุทธศาสนา ที่ผสมผสานกับความเชื่อ ดั้งเดิมของชาวอีสานเรื่องผีแถน เทพเจ้าที่ควบคุมฟ้าฝน เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนา และ พิธีกรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ซึ่งเป็นหัวใจของวิถีชีวิตชาวนาในวัฒนธรรมข้าว ความเชื่อเรื่องน้ำฝน ที่นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ พืชผลแสดงให้เห็นความสำคัญ ของน้ำในการเกษตร และ การประสานระหว่าง ความเชื่อทางศาสนา และ วิถีชีวิตดั้งเดิม ตำนานพญากับประเพณีท้องถิ่น ตำนานพญาคางคก ยังคงมีบทบาทสำคัญ ในวัฒนธรรมอีสานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การขอฝน ในอดีต ชาวบ้านมักนำเรื่องเล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งของ การเทศน์ ในงานพิธีสำคัญ เช่น การขอฝน และ ประเพณีบุญบั้งไฟ การจุดบั้งไฟในเดือนหก เพื่อขอฝนจากพญาแถน ถือเป็นประเพณีที่สืบทอด มายาวนาน และ ได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานพญาคางคก ความเชื่อนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ฮีตสิบสอง หรือจารีตประเพณีที่ปฏิบัติตามเดือนต่าง ๆ ในรอบปี ซึ่งสะท้อนถึง วิถีชีวิตของชาวนา และ ความสำคัญของน้ำใน กระบวนการเพาะปลูก ซื้อหวย

พญาคันคาก ยกทัพคางคกไปรบพญาแถน เป็นตำนานบั้งไฟขอฝน

พญาคันคาก วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นตำนานบั้งไฟขอฝน ชาวยโสธร

บุญบั้งไฟ เป็นหนึ่งในพิธีที่แสดง ให้เห็นถึงการเชื่อมโยง ตำนานพญาคางคก เข้ากับวิถีชีวิตจริง การจุดบั้งไฟเพื่อบูชา และ ขอฝนจากพญาแถนถือ เป็นพิธีกรรม ที่มีความสำคัญ และในบางพื้นที่ยังคงมีการเทศน์ เรื่องพญาคางคก ประกอบในพิธีนี้ด้วย ตำนานพญาคางคก จึงไม่เพียงแต่เป็นวรรณกรรมพื้นบ้าน หากยังเป็น เครื่องมือทางวัฒนธรรม ที่ช่วยอธิบาย และ สืบทอดความเชื่อเกี่ยวกับ ความอุดมสมบูรณ์ และ น้ำฝน ที่เป็นหัวใจสำคัญ ของวิถีชีวิตเกษตรกร ในภาคอีสานบทสรุปตำนานพญาคางคก สะท้อนให้เห็นถึง การผสมผสานระหว่าง พุทธศาสนา และ ความเชื่อพื้นบ้าน อย่างลงตัว ความเชื่อเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ และ การขอฝนจากพญาแถน เป็นทั้งสัญลักษณ์ของ ความศรัทธา และ การพึ่งพาธรรมชาติ

ที่สืบทอดกันมาในสังคม เกษตรกรรมของชาวอีสาน ตำนานนี้ไม่เพียงแต่ แสดงให้เห็นถึง คุณค่าทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์ ที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์ กับธรรมชาติ และ การเคารพ ในธรรมชาติที่เป็นที่มา ของความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตภาพลักษณ์ของ ขบวนแห่บั้งไฟ ในประเพณีบุญบั้งไฟ นั้นยังคงสอดคล้องกับ ความเชื่อพื้นบ้านที่ผสานกับพุทธศาสนา โดยส่วนหัวของบั้งไฟ มักถูกออกแบบให้เป็นรูปลักษณ์ ของพญานาค เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ในการยิงดวงไฟหาง ส่งพญานาคขึ้นไปเล่นน้ำ ในสระโบกขรณี บนท้องฟ้า ในขบวนแห่ยังมีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง จำลองบทบาทเป็นผาแดง และ นางไอ่ ขี่ม้าหนีเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมือง พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง ยังรวมถึงการบวชพระ และ ฟังธรรมเทศนา ซึ่งมีเนื้อหา ที่สะท้อนถึงคติชน และ จารีตประเพณี ฮีต 12 คอง 14 เพื่อปลูกฝังความสำนึกในหน้าที่ต่อบ้านเมือง แก่ทั้งผู้ปกครอง ภิกษุสงฆ์ และ ประชาชนทั่วไป

การทำบั้งไฟ ได้กลายเป็นทักษะเฉพาะ ของชาวจังหวัดยโสธร ผู้มีความชำนาญในการทำบั้งไฟขนาดใหญ่ เช่น บั้งไฟแสน ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว และ บั้งไฟล้าน ที่มีขนาดใหญ่ถึง 8 นิ้ว บั้งไฟเหล่านี้ มักมีการสลักลวดลายศิลปะ บริเวณหางอย่างประณีต ส่วนสูตรผสมดินปืน ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการละเล่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อแสดงแสนยานุภาพ การเอ้ (การแสดงบั้งไฟให้สูง และ นานบนท้องฟ้า) หรือเพื่อให้เกิดเขม่าควันจับตัวกับก้อนเมฆ ได้อย่างกว้างไกล

ประเภทของบั้งไฟมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการใช้งาน เช่น

  1. บั้งไฟที่ยึดติดอยู่กับที่ เช่น บั้งไฟพะเนียง และบั้งไฟดอกไม้
  2. บั้งไฟที่เคลื่อนที่ในทางตรงข้าม เช่น บั้งไฟหางทางมะพร้าว บั้งไฟเสียงโหวด บั้งไฟก่องข้าว บั้งไฟอีตื้อ บั้งไฟจินาย และบั้งไฟม้า
  3. บั้งไฟที่หมุนเป็นวง เช่น บั้งไฟตะไล
  4. บั้งไฟที่ให้เสียงดัง เช่น บั้งไฟพลุ บั้งไฟที่ส่งเสียงสัตว์ หรือเสียงคำราม

ประเพณีบุญบั้งไฟ ได้รับความนิยมอย่างมาก ในพื้นที่ต่าง ๆ ของภาคอีสาน โดยเฉพาะในจังหวัดยโสธร ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการบูชาพญาแถน (หรือพระอินทร์) เพื่อขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ประเพณีนี้ไม่เพียงแต่ เป็นการแสดงถึงภูมิปัญญา ในการประดิษฐ์บั้งไฟ และ การละเล่นเสี่ยงทาย เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังเป็นการถ่ายทอดคติชน และ ธรรมเนียมทางพระพุทธศาสนา ที่เน้นการรักษาฮีตคอง เพื่อความสามัคคีในสังคม

.

พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก แลนด์มาร์ค เทศบาลเมืองยโสธร อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร

พญาคันคาก วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นตำนานบั้งไฟขอฝน ชาวยโสธร

พิพิธภัณฑ์พญาคางคก แลนด์มาร์คสำคัญ แห่งจังหวัดยโสธร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทวน เป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความเชื่อ และ ความอุดมสมบูรณ์ของภาคอีสาน โดยมีตำนานพญาคางคก ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเพณี บุญบั้งไฟอันเก่าแก่ ให้ได้ศึกษากัน พิพิธภัณฑ์พญาคางคก มีความโดดเด่น ด้วยอาคารรูปคางคกสูงถึง 19 เมตร หรือเทียบเท่าตึก 5 ชั้น ซึ่งสำหรับชาวอีสานแล้ว คางคกเป็นสัญลักษณ์ ของความอุดมสมบูรณ์ และ เชื่อมโยงกับเรื่องเล่าประเพณี บุญบั้งไฟที่มีมาตั้งแต่อดีต จึงกลายเป็นที่มา ของแลนด์มาร์ค ที่โดดเด่นแห่งนี้

ภายในพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราว เกี่ยวกับคางคกกว่า 500 สายพันธุ์จากทั่วโลก รวมถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอื่นๆ อย่างกบ อึ่ง และ เขียดที่พบในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการจัดฉายภาพยนตร์ 4 มิติ ที่เล่าเรื่องราว ของประเพณีบุญบั้งไฟ ให้นักท่องเที่ยว ได้เพลิดเพลินพร้อมกับเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน พิพิธภัณฑ์พญาคางคก ยังได้รับการคัดเลือก เป็นหนึ่งในโครงการ “เขาเล่าว่า” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ คือ จุดชมวิวที่บริเวณปากพญาคันคาก ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองยโสธร ได้อย่างกว้างไกลสุดสายตา อีกทั้งบริเวณใกล้เคียงยังมี พิพิธภัณฑ์พญานาค ที่เล่าเรื่องราวความเชื่อท้องถิ่น ของชาวอีสานได้อย่างน่าสนใจ เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชม

Share:
More Posts